…อย่างที่เคยเกริ่นไปแล้วว่ามันเป็นเรื่องยากที่คนไม่เคยมีประสบการณ์ในการลงทุนแล้วจะมาพบความสำเร็จในการเล่นหุ้น  …ถ้าจำกันได้ในPageเรื่อง”การลงทุนของผม” ผมเล่าว่าผมเริ่มต้นกับหุ้นด้วยเงิน30,000บาท..มาPageนี้ผมขอเล่าขยายความนะครับ…

…ในช่วงแรกๆ..ผมมักจะซื้อหุ้นที่เน้นปันผลครับ..ตัวแรกในชีวิตคือ CSLเป็นตัวแรกที่ผมซื้อและขาย ..ในวันนั้นผมได้กำไรหลักสิบบาท ดีใจมากๆ(จำได้ว่าใจเต้นแรงมาก)..และก็เล่นเดย์เทรดทุกวันอย่างมีความสุขเพราะกำไรนิดๆหน่อยตลอด…ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่า..เมื่อ3-4ปีที่แล้วนั้น..เล่นตัวไหนมันก็ขึ้นทั้งน้านแหละ..แต่ก็นั่นแหละครับ เห็นผมเล่นเทรดแบบนี้ ผมก็อ่านหนังสือลงทุนอยู่เรื่อย…เห็นเซียนๆเขากำไรกันเป็น100% และอยากทำได้บ้างอยู่ในใจลึกๆ…ตั้งใจไว้ว่า..”ต้องได้อย่างเขามั่งน่า”

…เดย์เทรดอยู่เป็นเดือนๆก็เริ่มมีความชำนาญจึงชักชวนเพื่อนเข้ามาเล่น…จุดเปลี่ยนจุดแรกที่ผมเริ่มปรับแนวความคิดคือ เพื่อนที่เพิ่งเริ่มสามารถทำกำไรได้มากกว่าผม..เนื่องจากเพื่อนเล่นตามข่าวตลอด…ผมมัวแต่นั่งเทรดเอากำไรเล็กๆน้อยๆจากหุ้นปันผล..(ย้อนกลับดูตัวเองตลกจริงๆ)

…ผมจึงเริ่มสังเกตุผลที่มาข่าว..ผมพบว่าบางครั้งราคามันก็ไม่ได้ไปตามข่าวซะทีเดียว..ตลาดมีความซับซ้อนมากกว่านั้น  ผมก็ค่อยๆปรับวิธีการเล่นมาเป็นเทรดหุ้นที่มีปันผลโอเคและมีข่าวบ้าง เช่นพวก กลุ่มเรือ กลุ่มแบงค์..เล่นแบบนี้อยู่เป็นเดือนๆเหมือนกันครับ…จุดเปลี่ยนที่สองคือการได้มีโอกาสดูวีดีโอสอนกการใช้กราฟเทคนิค…ตอนดู..ร้องคำเดียวเลยครับว่า..”อะไรจะแม่นขนาดนั้น!!”

…จากวันนั้นผมก็เริ่มศึกษากราฟเทคนิค..สนุกมากครับช่วงนี้  เล่นเป็นบ้าเป็นหลังเลย ..เชื่อไหมเมื่อก่อนถ้ามาถามผมว่ากราฟแต่ละอันที่ผมใช้คำนวนมาได้ยังไง ผมบอกได้เลยอะ เพราะ กราฟบางตัวค่าไม่เหมือนกันเกิดจากระยะในการใช้ฐานข้อมูลที่แตกต่างกัน..ดังนั้นจำเป้นต้องรู้วิธีคำนวน…เล่นพร้อมกับศึกษาอยู่พักนึงผมพบข้อเสียบางอย่างในการใช้กราฟ เช่น เล่นสั้นโดนหลอกได้, เวลาVolumeเข้า-ออก ผิดปกติก็ซื้อ-ขายไม่ทัน…เป็นอะไรที่ผมไม่สามารถแก้ไขด้วยทางเทคนิคได้ …จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่3 

…เมื่อพบข้อเสียก็ต้องปรับปรุงใช่ไหมครับ ..ผมจึงเริ่มศึกษาปรัชญาการ ลงทุน …เพื่อหวังจะใช้เสริมความรู้เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องของการใช้กราฟเทคนิคเพียวๆ…  มีเรื่องนึงผมขำตัวเองมากๆ(จำแม่นสุดๆ)  ผมซื้อแบงค์กรุงศรี แล้วหนังสือบอกว่า..ขาดทุน10%ให้ Cut  …ผมขายที่10%พอดี เป๊ะ!!…แต่มันขึ้นปั๊บ!!…และวิ่งไปเกินว่าที่เราซื้อและไม่เคยลงมาให้ผมได้ซื้ออีกเลย^_^”..จึงรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องใช้ให้เหมาะสมกับสถานะการณ์ด้วย..จุดเปลี่ยนที่4 เกิดขึ้นหลังจากนี้ไม่นาน จากการที่ผมมองเงินในพอร์ทตัวเองแล้วคิดว่ามันยังไม่น่าจะใช่(บวกไม่เยอะ)…น่าจะมีอะไรที่มันเป็นแก่นแท้ๆ..ที่แบ่งแยกนักลงทุนอยู่แน่ๆ…แต่ก็ไม่รู้ทำไงได้แต่ศึกษาลืมตาในความมืด ไปเรื่อยๆ

…หลังจากเริ่มพบข้อเสียต่างๆมากมาย ก็ใช้เวลาสัก1ปีกว่าๆ…ผมบอกว่าข้อเสียมะช่ายพอร์ทผมจะขาดทุนนะครับเพราะย้อนกลับไป Setขึ้นจากแถว 380 >> 700 ใครขาดทุนก็แปลกแล้ว…จนได้คุยกับเพื่อนในเว็บThaiVI ทำให้ทัศนะคติผมเปลี่ยนไป..พอจะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ เพราะพี่ท่านนึงที่ผมสนิทมากๆแสดงให้ผมเห็นว่าการเล่นเก็งกำไรเชิงพื้นฐานเป็นยังไง(ไม่กล้าเอ่ยชื่อเพราะยังไม่ได้ขออนุญาติ)

…พี่เขาเก่งทั้งกราฟเทคนิค เก่งทั้งทางพฐ. …ศึกษาสังเกตุพี่เขา ผมเห็นแนวทางนึงที่ผม ยึดมาใช้อยู่เป็นปี!! คือ เข้าซื้อหุ้นมีพฐ.ในอนาคตตามกราฟเทคนิค และ ขายออกตามพฐ.ผสมกราฟเทคนิค …เชื่อไหมครับกำไรตลอด(จริงๆนะครับ)..เพราะแม้จะเทรดรอบสั้นผสมบ้างผิดจังหว่ะก็ไม่ติด เพราะพฐ.ดี เด๋วก็ต้องมา…ตอนนั้นก็คิดว่าหลักการนี้น่าโอเคแล้วนะครับ..แต่นั่นแหละครับ..ผมก็ได้แต่เล่นตามและเลียนแบบไปวันๆ..และเข้าใจไปเองว่าตัวผมเข้าใจพฐ.บริษัทที่เล่นดีพอแล้ว…**ตอนหลังผมเข้าใจแล้วว่าคนเก่งพฐ.จริงๆเขาเข้าใจบริษัทขนาดไหน..เรื่องจะมาโดนลากติดหุ้นพฐ.เป็นเรื่องยากมากๆ (ถ้าใครผ่านจุดนี้ไปแล้ว..ผมพูดแบบนี้ข้าใจแน่นอนครับ)..ที่บอกแบบนี้เพราะปัจจุบันนี้ เจ้าเขานิยมลากหุ้นมีพฐ.กันทั้งนั้น

…จนมาวันนึงที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตผมอีกครั้ง…พี่ที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆกันมาตลอด ให้ดูกำไร…800%!! โอ้ว์ จอร์ส!!…เชื่อไหมครับผมรู้สึกว่านี่หรือเปล่าที่เราตั้งใจไว้ในตอนแรก!!…พี่ท่านนี้เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยจะได้คุยเรื่องหุ้นกันเท่าไหร่(รู้ตอนหลังว่ากลัวจะแนะนำเราผิดพลาด)…พี่เซียนที่ทำงานผมท่านนี้แตกต่างจากพี่ในเว็บThaiVIลิบลับ..เพราะพี่ที่ทำงานผมดูกราฟไม่เป็น , งบการเงินพฐ.ไม่สนใจดู…แต่กำไรเยอะมาก!!?.(ย้ำว่าไม่ใช่ฟลุ๊คนะครับ) …ตอนนั้นเกิดคำถามขึ้นในใจผมมากมายว่าเพราะอะไร??(ทราบทีหลังว่าพี่เขาโครตเซียนspeculatorจริงๆ..คำคมใน”แง่คิดก่อนซื้อขาย”ที่ว่า..”หวังกำไรเล็กๆน้อยๆจะมาเล่นหุ้นทำไม”…ก็ได้จากพี่เซียนท่านนี้แหละครับ)

….แต่พี่เซียนท่านนี้ไม่มีหลักการอะไรอย่างพี่ในVIเลยครับ..แล้วผมจะเอายังไงดีล่ะครับ!!?อยากพัฒนาตัวเองมากๆ ..เมื่อเลือกไม่ได้จากวันนั้นผมก็เริ่มศึกษาทั้ง2ทางเลยครับ ทั้ง VIจากพี่ในเว็บ และ speculateจากพี่ที่ทำงาน …ดังนั้นความรู้ผมจะออกแนวจับฉ่ายครับ^_^”…ช่วงนี้ ในพอร์ทผม มีหุ้นที่กำไร70%มั่ง 50%มั่ง เกือบๆ 100%มั่ง…แต่ตอนหลังพบว่าการที่ตัวเองจับฉ่ายก็มีข้อเสียเหมือนกันครับ..คือบางจังหว่ะต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจริงๆถึงจะมองทิศทางออก..และผมก็แก้ไขไม่ได้เพราะความจับฉ่ายของผม..จนในที่สุดสักเมื่อปีกลาง53ผมได้อ่านหนังสือเล่มนึง(ขอกราบขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้มีหนังสือเล่มนี้อย่างสูง) ..ชื่อว่า”One Up on Wall Street”ของ ปีเตอร์ ลินซ์…ถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการลงทุนที่แท้จริงของผมเลยครับ

…ตอนนั้นผมรู้แล้วว่า..ความถนัดของผมกับของพี่ๆทั้ง2ท่านไม่เหมือนกันอยู่ก่อนแล้ว …พอมาเจอปีเตอร์ ลินซ์ …ผมเหมือนพบที่รวมความจับฉ่ายของผมเลยทีเดียว  …ผมไม่ชอบใช้วิธีคำนวนมูลค่าแบบยากๆ, ไม่ชอบดูกราฟเทคนิคที่ซับซ้อน, ผมเริ่มวิเคราะห์หุ้นเอง(มั่วไปเรื่อย), เริ่มเก็งกำไรเอง, เริ่มคิดหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง …จนผมพบว่า “ความเรียบง่าย”  คือคำตอบของผม

…เน้นกันที่ความเข้าใจเป็นหลัก…เช่น เคยได้ยินคำอะไรประมาณนี้ไหมครับว่า.. Let Profit Run หรือ อย่าขายหุ้นที่เป็นตัวเขียวแล้วเก็บตัวแดงไว้ หรือ อย่าซื้อถัวเฉลี่ยขาลง ….เชื่อไหมครับว่า ..เวลากำไรผมไม่เคยเก็บตัวเขียวไว้..บางตัวกำไรอยู่4-500%ก็ขายครับ, ไม่เคย Let ให้หุ้นที่มี Profit ในอนาคตน้อยมา Run อยุ่ในพอร์ท, ซื้อเฉลี่ยขาลงประจำเลยครับ……..แม้ผมจะทำขัดหลักการอมตะเหล่านี้ แต่พอร์ทผมกำไรมากกว่าตอนผมมัวแต่ไปยึดติดกับรูปแบบหรือวิธีการต่างๆซะอีกครับ

ความเรียบง่าย..บอกผมว่า..ไม่ต้องดูกราฟเก่งอย่างใครเขา,ไม่ต้องดูงบการเงินแบบนักการบัญชี, ไม่ต้องยึดติดกับหลัการ, ไม่ต้องมีรูปแบบการเล่นที่ยุ่งยากซับซ้อน…..เน้นที่ความรู้ , ความเข้าใจในธุรกิจ, หาความรู้รอบๆที่เกี่ยวข้องใส่ตัวบ้างอยู่เรื่อยๆ, เน้นความรอบคอบ,ไม่ต้องหวังกำไรพรวดๆ(ถึงสภาพตลาดไม่ดีเท่า2-3ปีก่อน..แต่ได้กำไรทั้งพอร์ทเยอะกว่าจริงๆครับ), บลาๆๆ

…..ไม่รู้จะพูดเป็นข้อๆออกมายังไงหมดเลยครับ …แต่ เรียบง่าย สบายๆ …บ่อยครั้งที่ซื้อ-ขาย ไม่เคยดูกราฟเทคนิค(ประจำเลยครับ) และ บ่อยครั้งที่ซื้อไปก่อนมาดู พฐ. ที่หลัง(เอาใกล้สุด..ยังมีอยู่ในพอร์ทเลย ก็PFนี่แหละครับ..จาก4.2 >> 6บาท, มีปันผลอีก7% แถมด้วยสิทธ์พิเศษอีก…ตอนซื้อคิดแค่ถ้าเสียอาจจะสักราว10%แต่ถ้าได้นี่อาจจะ 40-50%เลย..คิดแค่นี้จริงๆครับ)

…อนาคต..แนวทางจะเปลี่ยนอีกไหม ผมไม่ทราบได้…แต่ตอนนี้ แนวทางของผม คือ ความเรียบง่าย  แบบนี้แหละครับ

ด้วยความเคารพในแนวทางของทุกท่านครับ

25 thoughts on “แนวทางของผม

Leave a comment